กรรมการบริษัทฯ สร้างคอนโดมิเนียมที่ขอนแก่น ร้องขอความเป็นธรรม หลังทนายความตัวแทนบริษัทที่วางมัดจำซื้อคอนโดฯ กับกรมบังคับคดี พาชายฉกรรจ์ครึ่งร้อย บุกรุกพื้นที่ก่อสร้างคอนโดมิเนียม ทำผู้รับเหมากลัวขอถอนตัว การก่อสร้างหยุดชะงักไปต่อไม่ได้
เวลา 11.00 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2566 นางสาวยอดขวัญ เจริญวานิช อายุ 47 ปี กรรมการบริษัท ที เค เอส คอนโดมิเนียมจำกัด อยู่ที่บ้านเลขที่ 222/16 ม.16 บ้านแก่นพะยอม ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อขอความเป็นธรรมและอยากให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่น แต่เกิดปัญหาเนื่องจากบริษัท ที เค เอส คอนโดมิเนียมจำกัด ทำการก่อสร้างคอนโดมิเนียมชื่อ (Everest) เอเวอร์เรสท์ ในพื้นที่บ้านแก่นพะยอม โฉนดที่ดินเลขที่ 16498 เลขที่ดิน 12 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น มีมูลค่าการก่อสร้าง 600 ล้านบาท ซึ่งสร้างไปแล้ว 40% แล้ว แต่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ได้มีชายฉกรรจ์ประมาณ 50 คนเข้ามาในบริเวณพื้นที่โครงการ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการเข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะพื้นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างคอนโดมิเนียมให้แล้วเสร็จ เพื่อที่จะจัดจำหน่ายให้ลูกค้าในราคาห้องละ 1,200,000 บาท
นางสาวยอดขวัญ พาสื่อมวลชนลงพื้นที่ดูจุดที่ก่อสร้างคอนโดมิเนียม พร้อมกับกล่าวว่า ชายฉกรรจ์เข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ตนในฐานะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มอบหมายให้วิศวกรโครงการ เข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.บ้านเป็ด ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานตาม ปจว.ข้อ 6 ลงวันที่ 9 กันยายน 2565 ต่อมาได้ทำการตรวจสอบคนนำทีม ที่นำพาชายฉกรรจ์ทราบจำนวน 50 คนเข้ามาในพื้นที่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 นั้น คือนายเอ (นามสมมติ) เป็นผู้รับมอบอำนาจและเป็นทนายความของบริษัทแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น
"ขณะนี้ได้เข้าแจ้งความเพิ่มเติมกับตำรวจสภ.บ้านเป็ด เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2566 ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนและจับกุมนายเอ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม 2565 นั้น ทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัท ที เค เอส คอนโดมิเนียมจำกัด ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ทำให้ผู้รับเหมาและคนงานมีความวิตกกังวล และได้ถอนตัวออกจากพื้นที่ทั้งหมด อีกทั้งหลังจากเกิดเหตุเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 บริษัทได้ให้ผู้รับมอบอำนาจ เข้าไปพูดคุยกับนายเอและบริษัทที่นายเอสังกัดอยู่ เพื่อเจรจา ไกล่เกลี่ยกัน ในฐานะนักธุรกิจ แต่ไม่สามารถติดต่อพูดคุยได้ และพฤติกรรมการเข้าพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ทำให้การก่อสร้างคอนโดมิเนียม (Everest) เอเวอร์เรสท์ ได้รับความเสียหายโครงการเดินหน้าต่อไปไม่ได้ การก่อสร้างหยุดชะงัก จึงอยากให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับบริษัท ที เค เอส คอนโดมิเนียมจำกัดด้วย”
นางสาวยอดขวัญ กล่าวอีกว่า เมื่อมีชายฉกรรจ์กลุ่มนี้เข้ามาในพื้นที่บริษัทที่สร้างคอนโดมิเนียม ผู้รับเหมาที่เราจ้างมาสร้างก็เกิดความตระหนกตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้เกิดความชะงักงัน และเกิดความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ในวันเกิดเหตุนั้น ขอดูเอกสารหลักฐาน เพราะเขาเข้ามา เขาบอกว่าเป็นเจ้าของคนใหม่ มีการแบ่งกลุ่มชายฉกรรจ์ แยกกันเข้าประจำจุด ทำการควบคุมแทนเราเอาไว้หมด ซึ่งทางเรามีคลิป มีภาพนิ่งถ่ายเอาไว้เป็นหลักฐาน
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะเกิดปัญหา โครงการเราหยุดการก่อสร้างไว้ช่วงหนึ่ง แต่ในปี 2565 ก็ได้เงินมาลงทุนทำต่อและเคลียร์หนี้สินต่างๆ ให้กับเจ้าหนี้รายเก่าเมื่อ 25 ก.ค. 65 จากนั้นจึงวางแผนงานไว้เพื่อจะดำเนินการก่อสร้างต่อจากเดิมให้แล้วเสร็จแต่ก็เกิดปัญหาขึ้น เพราะมีทนายความนำคนจำนวน 50 คน เข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต จนเกิดความเสียหาย จึงไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้ ที่ สภ.บ้านเป็ด
"ด้วยความที่เราเป็นนักธุรกิจ เราต้องการเจรจาไม่ต้องการสร้างเรื่องหรือสร้างศัตรูกับใคร เราพยายามขอพูดคุยเพื่อเคลียร์ให้จบแต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมพูดคุยด้วยและปัดไปจนถึงตอนนี้ การก่อสร้างดำเนินการต่อไม่ได้ และมั่นใจว่าไม่สามารถคุยกันได้แล้ว จึงร้องเรียนต่อสื่อมวลชน และจะทำการฟ้องร้องตามขั้นตอนของกฎหมายด้วย"
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อาสอบถามไปยัง นายอิทธิกร นาถะพินธุ ผู้รับมอบอำนาจและเป็นทนายความของบริษัท นครพลัส คอนสตรัคชั่น จำกัด คู่กรณี
นายอิทธิกร กล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าวนั้น สืบเนื่องจากทางเจ้าของเดิมถูกเจ้าหนี้ฟ้อง กระทั่งผ่านกระบวนการในชั้นศาลมาแล้ว ให้ชำระหนี้ แต่ทางเจ้าของเดิมไม่มีการชำระหนี้ ตามกฎหมายก็จะต้องมีการยึดทรัพย์สิน และพื้นที่ของคอนโดฯก็เป็น 1 ในทรัพย์สินที่มีการยึดทรัพย์เข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาด เวลาผ่านไปหลายปีก็ยังไม่มีคนมาซื้อ กระทั่งบริษัทที่ตนเองเป็นทนายให้ ต้องการซื้อที่ดินแปลงนี้มาพัฒนาต่อ จึงให้ตนเป็นผู้รับมอบอำนาจและเป็นทนายของบริษัท ซึ่งตอนที่ตนเองไปประมูลซื้อนั้นก็เป็นลอตสุดท้ายแล้ว การประกาศขายทอดตลาด 2 เดือนผ่านไปไม่มีคนซื้อ โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีการประกาศขาย 5 ครั้ง ตนไปซื้อครั้งที่ 5 ลอตที่ 1–4 ไม่มีคนซื้อ และก็ไม่ได้มีการค้านแต่อย่างใด เมื่อตนซื้อเสร็จได้วางเงินมัดจำจำนวน 10 ล้านบาท ทางกรมบังคับคดีขอนแก่นก็ออกใบเสร็จให้ถูกต้อง จึงเข้าไปตรวจสอบตามสิทธิ์ที่ทำได้ตามกฎหมาย ก่อนที่ทางเจ้าของเดิมจะไปฟ้องศาล กระทั่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตัดสิน ตนเป็นฝ่ายชนะ และต่อมาน่าจะมีการยื่นอุทธรณ์เนื่องจากไม่พอใจที่แพ้คดี และหาช่องทางอื่นเพื่อมาโจมตีตน
เจ้าของโครงการคอนโดฯ ที่ขอนแก่น แจ้งชายฉกรรจ์บุกรุก ทำก่อสร้างหยุดชะงัก - ไทยรัฐ
Read More
No comments:
Post a Comment