ทำอย่างไรให้การลงทุนเติบโตตลอดชีวิต ในสไตล์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor)
วันที่ 3 ตุลาคม 2564 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เขียนบทความลงในสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ระบุว่า คนที่รับราชการหลายคนที่อายุครบ 60 ปี พอถึงวันที่ 30 กันยายน ก็จะต้องเกษียณอายุ และถ้าไม่ได้มีกิจการหรือกิจกรรมอื่น ๆ รองรับ เขาก็มักจะไม่ต้องทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวอีกต่อไป แต่ส่วนใหญ่ก็น่าจะสามารถมีชีวิตต่อไปอย่างสะดวกสบายไม่ได้ลำบากอะไรนักเพราะมีรายได้จากบำเหน็จบำนาญหรือเงินก้อนโตจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่น่าจะเพียงพอที่จะใช้จ่ายไปตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม “ชีวิต” ในมิติหลาย ๆ ด้าน ซึ่งรวมไปถึงความสุขหรือความก้าวหน้าที่ดำเนินมาตลอดหลายสิบปีก็อาจจะหยุดไปด้วย ถ้าเป็นในสมัยก่อนที่อายุขัยของคนไทยยังไม่สูง อายุ 60-70 ปีก็ตายแล้ว การเกษียณสำหรับหลายคนก็คือการ “นับถอยหลัง” นี่เป็นอะไรที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า และเราไม่จำเป็นต้องติดยึดกับรูปแบบนี้
ว่าที่จริงมันไม่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะหยุดทำกิจกรรมเมื่ออายุ 60 ปี ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนเราก็คือการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างค่อนข้างคึกคักไปเรื่อย ๆ จนถึงวันตาย นอกจากนั้น ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีกก็คือ อย่าทำให้ชีวิตหยุดหรือถอยหลัง ชีวิตที่ดีนั้นควรจะเติบโตไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต และ “ไอดอล” คนหนึ่งของผมก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่อายุ 90 ปีแล้วแต่ก็ยังทำงานและเติบโตไปเรื่อย ๆ
ผมมีเพื่อนที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรขนาดใหญ่ที่เกษียณจากงานประจำที่หนักและเคร่งเครียด เขาบอกกับผมว่า ทันทีที่เกษียณเขาท่องเที่ยวไปแทบจะทั่วโลกและมีความสุขมากเพราะไม่มีภาระหนักสมองอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่เดือนหลังจากกลับจากการท่องเที่ยวเขาก็รู้สึกเหงาและว้าเหว่วัน ๆ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ตื่นเช้าขึ้นมาก็ไม่ต้องไปที่ทำงาน เขาไม่มีเพื่อนในที่ทำงานที่จะพูดคุยปรึกษา ไม่มีงานที่จะต้องทำ ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนเที่ยวซึ่งไม่มีมานานแล้วเพราะทุกคนต่างก็มีภาระและต่างก็มีครอบครัวของตนเอง เขาบอกว่าอยากที่จะทำงานเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นกรรมการของบริษัทหรือหน่วยงานอะไรก็ได้ แต่ผมดูแล้ว คงไม่มีใครจ้างหรือเชิญ เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและไม่ได้มีความรู้หรือชื่อเสียงพอ
ผมคิดต่อไปว่าถ้าเขาชอบอ่านหนังสือแบบผม การอ่านหนังสือก็น่าจะช่วยให้เขาหายเบื่อไปได้มากอย่างที่ผมทำมาตลอด ว่าที่จริงผมเอง “เกษียณ” ตัวเองตั้งแต่อายุ 52 ปี จนถึงวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีเวลาอ่านหนังสือพอ แน่นอนว่าผมทำงานน้อยลงมากเมื่อเทียบกับช่วงที่ยังทำงานประจำ แต่ผมกลับโตเร็วขึ้นและโตไปเรื่อย ๆ พอร์ตใหญ่ขึ้น บ้านใหญ่ขึ้น ท่องเที่ยวมากขึ้น ชีวิตประสบความสำเร็จมากขึ้น
การเติบโตของชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญมากเท่า ๆ กับการมีงานทำ มันทำให้เราก้าวหน้าในทุก ๆ มิติ และทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นเพราะเราจะมีความพึงพอใจมากขึ้น คนจำนวนไม่น้อยนั้น ในช่วงชีวิตโดยเฉพาะในช่วงที่อายุยังน้อยเขาเติบโตเร็วมาก เขาฉลาดและทุ่มเทในการเรียนหนังสือจนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับประเทศและระดับโลกด้วยคะแนนแทบจะสูงสุดและได้เข้าทำงานในหน่วยงานที่มีชื่อเสียง
แต่แล้วหลังจากนั้นเขาก็แทบจะ “หยุด” เรียนรู้เพิ่มเติมส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ “Burnout” ร่างกายจิตใจและอารมณ์เหนื่อยล้าจากการทุ่มเทที่มากเกินไปและเขาอาจจะรู้สึกว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่นั่นเป็น “ภาพลวงตา” ความรู้ที่เขาเรียนจากห้องเรียนเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ และอาจจะเป็นแค่พื้นฐานในการศึกษาต่อ ความรู้และความสามารถที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นหลังจากนั้นซึ่งมีเวลาศึกษาต่อเป็นสิบ ๆ ปี ถ้าเราศึกษาไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด การเลิกศึกษาต่อหรือเรียนรู้น้อยลงมากหลังจากเรียนจบนั้นทำให้ความรู้และความสามารถหยุดนิ่งและถดถอยลงเรื่อย ๆ ผมเองมีเพื่อนที่เป็นแนวนี้และก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อเพื่อนทุกคนต่างก็มีอายุมากขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จสูงกลับไม่ใช่คนที่เรียนเก่งที่สุด แต่เป็นคนที่พัฒนาตนเองตลอดเวลามากกว่า
บางคนเมื่อเข้าทำงานประจำในสายงานของตนเองก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว “เป็นจรวด” และก็อาจจะไปถึงจุดสุดยอดเป็น CEO หรือผู้ที่ได้รับตำแหน่งหรือได้รับรางวัลหรือการยอมรับในระดับที่สูงสุดหรือสูงลิ่วตั้งแต่อายุยังน้อยมาก แต่ปัญหาก็คือ เมื่อเขาประสบความสำเร็จ “สูงสุด” แล้ว มันก็ไม่มีที่ที่สูงกว่าที่จะก้าวเดินต่อไป เขาติดอยู่กับตำแหน่งนั้นและก็ไม่สามารถและไม่ยินดีที่จะทิ้งหรือเปลี่ยนสถานะนั้นจนกระทั่ง “เกษียณอายุ” หรือต้องออกจากสถานะนั้นเนื่องจากปัญหาหรือความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น
ประเด็นก็คือ จุดสูงสุดนั้น เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในสายอื่นอาจจะไม่ได้สูงเท่าไร ดังนั้น ความสำเร็จในชีวิตก็จะไม่ได้มากเท่าที่คิด ประเด็นต่อมาที่ผมคิดว่าหนักหนาพอสมควรก็คือ การอยู่ “ที่เดิม” หรือตำแหน่งเดิมเป็นเวลานานและแทบจะไม่มีการเติบโตต่อไปเลยนั้นอาจจะไม่ใช่ “ความสุข” ที่แท้จริง มนุษย์เรานั้น ผมคิดว่ามียีนที่พึงพอใจต่อการ “เติบโต” หรือ “ความก้าวหน้า” มากกว่าการหยุดนิ่งแม้ว่าจุดที่หยุดนิ่งนั้นจะสูงกว่าจุดที่กำลังเติบโต ดังนั้น การเติบโตที่เร็วเกินไปบางทีก็เป็นผลลบเหมือนกันโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนที่โตไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง
งานและอาชีพแต่ละอย่างนั้นมีธรรมชาติของการเติบโตไม่เหมือนกัน งานที่ต้องอาศัยความสามารถและ/หรือความแข็งแรงของร่างกายมักจะโตไปได้เร็วและก็จะถึงจุดสูงสุดเร็วมาก ชีวิตต่อจากนั้นถ้าไม่เปลี่ยนแปลงความสำเร็จก็จะหยุดอยู่แค่นั้น
นักกีฬาแต่ละอย่างมีช่วงชีวิตค่อนข้างสั้น นักวิ่งเร็วนั้นไม่กี่ปีก็ไม่สามารถแข่งขันได้แล้ว ฟุตบอลอาจจะเล่นได้ถึง 40 ปีก็ถือว่าเก่งมาก เทนนิสก็น่าจะพอ ๆ กัน กอล์ฟอาจจะเล่นได้นานขึ้นหน่อย อาชีพนักแสดงก็มีช่วงไพร์มหรือช่วงที่ประสบความสำเร็จสูงมากโดยเฉพาะในประเทศไทยที่คนยังดูที่รูปร่างหน้าตาอยู่มาก เช่นเดียวกับนักร้องที่อาจจะอยู่ได้นานกว่าเล็กน้อย ทั้งหมดทำให้คนที่ทำอาชีพเหล่านั้นอาจจะต้องประสบกับความรู้สึกที่หดหู่มากกว่าคนอาชีพอื่นเมื่อพบว่าความดังหรือความรุ่งเรืองสุดยอดของตนนั้นถดถอยลงไปเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
งานที่ใช้ความคิดและความสามารถทางสมองและอารมณ์ เช่น งานบริหารบริษัทหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ และงานวิเคราะห์ทั้งหลายรวมถึงการลงทุนนั้น เป็นสิ่งที่สามารถเติบโตไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนระยะยาวแบบ VI นั้น สามารถทำไปได้แทบจะตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม คนที่ศึกษาและพัฒนาตนเองไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิตนั้นก็อาจจะมีไม่มากนัก เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าการวัดหรือการแข่งขันในงานหรือในเกมไม่ชัดเจนรวมถึงความหลากหลายของธุรกิจหรือหน่วยงานและการเปลี่ยนแปลงของภาวะอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ไม่เกิดแรงกระตุ้นที่จะเรียนรู้เพื่อให้เติบโตตลอดชีวิต แต่นี่ทำให้คนที่ตระหนักและมุ่งมั่นที่จะทำอย่างต่อเนื่องจะได้เปรียบในการแข่งขัน
ในชีวิตของผมเองนั้น เมื่อมองย้อนหลังก็พบว่าตนเอง “โชคดี” ที่มีชีวิตที่เติบโตไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง เริ่มตั้งแต่เกิดก็ได้เห็น “ความก้าวหน้า” ของครอบครัวที่พ่อแม่อพยพจากเมืองจีนมาหางานทำในประเทศไทย ตั้งแต่อาศัยอยู่ในบ้านหลังคามุงจากกลายเป็นสังกะสีและมีหลอดไฟดวงเดียวทั้งบ้านโดยไม่มีน้ำประปาใช้ ต่อมาก็เซ้งบ้านที่เป็นตึกแถว สุดท้ายก็มีบ้านขนาดใหญ่เป็นของตัวเองหลังจากอายุครบ 60 ปีไปแล้ว
การเรียนก็เริ่มจากโรงเรียนวัดมาเป็นโรงเรียนชั้นนำและมหาวิทยาลัยระดับประเทศและสุดท้ายไปเรียนต่างประเทศ ทั้งหมดใช้เวลายาวนาน ในด้านของการทำงานก็เริ่มจากบริษัทแบบครอบครัวมาเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศและสุดท้ายก็กลายเป็นนักลงทุนที่มีอิสรภาพทางการเงินและเป็นที่ยอมรับในวงสังคม แต่กว่าจะถึงจุดนั้นอายุก็ใกล้ 50 ปีไปแล้ว ในด้านของความรู้ ความคิดเห็นและมุมมองต่อสังคมและโลกนั้น ผมคิดว่ามีการ “เติบโต” มาอย่างช้า ๆ และมั่นคงมาตลอดจนถึงวันนี้ การเติบโตที่ว่าก็คือการที่สามารถที่จะเข้าใจพฤติกรรมต่าง ๆ ของสังคมและมนุษย์ทั่วโลกและการปรับตนเองให้อยู่กับมันอย่างเสมอภาค ภราดรภาพและมีความสุข
ทั้งหมดนั้นผมคิดว่ามาจากแนวทางและประสบการณ์สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้คือ ข้อแรก ตั้งอยู่ในความสมถะ ไม่ทะนงตนเองเกินไป สอง คือการไม่หยุดศึกษาและอ่านหนังสือตลอดชีวิต สาม คือพยายามทำอะไรที่เป็นการ “ทบต้น” ความหมายคือ เมื่อทำอะไรสำเร็จไปแล้ว ก้าวต่อไปก็ต้องต่อยอดจากความสำเร็จนั้นไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา สี่ คือพยายามไม่ทำอะไรซ้ำนานเกินไปโดยเฉพาะถ้าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จมากขึ้นอีกแล้ว ผมเคยลองนึกย้อนหลังดูก็พบว่าประมาณทุก 10 ปีชีวิตผมจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทุกครั้ง
ทำอย่างไรให้การลงทุนเติบโตตลอดชีวิต ในสไตล์ ดร.นิเวศน์ - ประชาชาติธุรกิจ
Read More
No comments:
Post a Comment