พาสปอร์ตอุทยาน คืออะไร? ใช้ทำอะไรได้บ้าง คนไทยจำนวนไม่น้อยที่บอกเพิ่งรู้จักเพราะ "คัลแลน" ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลี
หลังจากที่กรมอุทยานฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า มีการติดต่อ คัลแลน-พี่จอง ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีใต้ ที่ทำคอนเทนต์ท่องเที่ยวประเทศไทย มาเป็นพรีเซนเตอร์ท่องเที่ยว โดย 2 หนุ่มให้การตอบรับเป็นอย่างดี และไม่คิดค่าตัว ขอเพียงแค่ไม่บังคับ ปล่อยให้เป็นธรรมชาติเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งทำเอาแฟนๆ หลายคนใจฟู บอกว่าเหมาะสมที่สุดเพราะทำด้วยความชอบและรักในการท่องเที่ยวประเทศไทยจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคนตั้งคำถามว่า การเอาคนต่างชาติมาเป็นพรีเซนเตอร์การท่องเที่ยวไทยนั้นเหมาะสมหรือไม่
ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดการถกเถียงในสังคม โดยหลายเสียงยืนยันว่า ณ ตอนนี้ ไม่มีใครเหมาะสมเท่านี้อีกแล้ว เพราะถ้านึกถึงการท่องเที่ยวไทยตอนนี้ ก็ต้องนึกถึงพี่จองกับคัลแลน ที่ไปแบบธรรมชาติ ลองผิดลองถูก แม้แต่โดนโก่งราคาก็เคยมี เรียกว่าถ่ายทอดชีวิตจริงของนักท่องเที่ยวที่ต้องเผชิญ และความตั้งใจของกรมอุทยานฯ คืออยากได้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาช่วยการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว หวังเชิญชวนให้ชาวต่างชาติมาเที่ยวด้วย การนำเสนอของพี่จองและคัลแลนจะเป็นตัวอย่างให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ แม้แต่คนไทยหลายคนก็ได้เปิดโลกการเที่ยวไทยจากคลิปของทั้งคู่เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีคนหยิบยกประเด็น พาสปอร์ตของกรมอุทยานฯ ที่คัลแลนพกติดตัวไปด้วยทุกครั้ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประทับตราลงสมุด ซึ่งคนไทยไม่น้อยที่บอกว่าเพิ่งรู้มีพาสปอร์ตแบบนี้เพราะดูคัลแลน
โดยคัลแลนเคยพูดไว้ว่า ตั้งใจจะประทับตราให้ครบทั้งเล่ม ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ในคลิปล่าสุดที่ไปเที่ยวภูเก็ต คัลแลนก็ออกอาการตื่นเต้นสุด ๆ เมื่อรู้ว่าจะผ่านเส้นทางของอุทยานฯ ซึ่งไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน รีบถามว่าประทับตราได้หรือไม่ เมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าได้และนำไปปั๊มให้ เจ้าตัวก็ยิ้มหน้าบาน ดีใจเป็นอย่างมาก
พาสปอร์ตอุทยาน คืออะไร?
หนังสือท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ หรือ พาสปอร์ตอุทยานแห่งชาติ (Passport to Thailand National Parks) จัดทำขึ้นโดย ส่วนนันทนาการและสื่อความหมาย สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพืชพันธุ์พืช เป็นหนังสือเล่มขนาด 3 x 5 นิ้ว สีเขียว สามารถซื้อได้จาก ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ หนังสือเดินทางเล่มนี้สามารถนำมาประทับตราของอุทยานแห่งชาติ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกการเดินทางของทุกคน
พาสปอร์ตอุทยานแห่งชาติ มีการจัดทำขึ้นมาให้นักท่องเที่ยวได้ประทับตราเป็นที่ระลึกมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่อาจจะขาดการประชาสัมพันธ์จึงทำให้หลายคนไม่รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ ขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่รู้จักพาสปอร์ตอุทยานแห่งชาติ และนำไปให้เจ้าหน้าที่ประทับตราเป็นที่ระลึกการเดินทาง หลายคนบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจในการออกไปเที่ยว และตั้งใจสะสมให้ครบทุกที่
ข้อมูลเมื่อเดือนธันวาคมปี 2562 หนึ่งในกิจกรรมของโครงการเที่ยวอุทยานแห่งชาติไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีการให้ความรู้ กฎระเบียบ ข้อควรปฏิบัติการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ผ่านพาสปอร์ตท่องเที่ยวไทย หัวใจสีเขียว (Green heart Passport) โดยตอนเริ่มโครงการได้ทำออกมา 1 ล้านเล่ม ให้กับประชาชนที่เข้ามาท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ 155 แห่งทั่วประเทศ เริ่มแจกช่วงปีใหม่ พ.ศ.2563
โครงการนี้ถือเป็นแนวทางรณรงค์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประกอบกิจกรรมนันทนาการ และการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะและขยะอันตราย การงดการใช้โฟมและงดการใช้พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง และการเชิญชวนนักท่องเที่ยวนำขยะกลับบ้านหรือร่วมกิจกรรมขยะคืนถิ่นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวและเทศกาลปีใหม่นี้
ภายในเล่มจะมีข้อมูลส่งเสริมการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ หากเข้าร่วมกิจกรรมโครงการที่เป็นการสะสมความดีจากการร่วมกิจกรรมขยะคืนถิ่นสามารถสะสมคะแนนสำหรับแลกของที่ระลึกได้ ด้วยการสะสมตราประทับที่เป็นตราสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติที่ไปท่องเที่ยว พร้อมลายเซ็นรับรองของเจ้าหน้าที่
ถ้าให้ครบ 10 ดวงตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ไม่สร้างขยะด้วยการเตรียมอุปกรณ์มาเอง อย่างขวดน้ำ แก้วน้ำ ปิ่นโต กล่องข้าว ถุงผ้า เพียงแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูจะได้รับตราประทับ 2 ดวง มื่อได้รับตราประทับครบ 10 ดวง จะได้บัตร 1 ใบ ใช้ยกเว้นค่าบริการผ่านเข้าอุทยานแห่งชาติได้ เริ่มใช้ได้ตั้งแต่นี้ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2563 สามารถสอบถามได้ที่ ส่วนจัดการท่องเที่ยวและนันทนาการ สำนักอุทยานแห่งชาติ โทร 02561 0777 ต่อ 1742 หรือ Facebook เพจสำนักอุทยานแห่งชาติ (ข้อมูลปี 2562)
อุทยานแห่งชาติในประเทศไทยปัจจุบันมี 156 แห่ง (อัปเดต 1 พ.ย. 66) แบ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 133 แห่ง และอุทยานแห่งชาติเตรียมการ 23 แห่ง
สำนักอุทยานแห่งชาติ - National Parks of Thailand
พาสปอร์ตอุทยาน คืออะไร? ใช้ทำอะไรได้บ้าง คนไทยบอกเพิ่งรู้จักเพราะ "คัลแลน" - Sanook
Read More
No comments:
Post a Comment