แต่งงานใช้ชีวิตคู่กันมานาน 11 ปีแล้ว สำหรับพระเอกรุ่นใหญ่ ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ ที่ยังแสดงความคลั่งรัก เอ๋ พรทิพย์ ภรรยาคนสวย ผ่านโซเชียลให้เห็นอยู่ตลอด แม้ภาพจะดูเหมือนคู่รักกันหวานชื่น เป็นครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์แบบ แต่ทั้งคู่ก็มักมีเรื่องให้งอนง้อกันเรื่อยๆ เมื่อ sanook.com มีโอกาสได้เจอ ป๋อ จึงได้พูดคุยถึงเคล็ดลับชีวิตคู่ในแบบของตัวเอง พร้อมทั้งเผยวิธีง้อภรรยาสุดที่รัก และการประคับประคองความรักในมั่นคงยาวนานได้อย่างไร ไปฟังกันเลย
คลิปยกมือไหว้ที่เอ๋โพสต์ล่าสุด เขาบอกเปิดดูทีไรหายโกรธตลอด
“(หัวเราะ)คลิปที่ยกมือขอโทษใช่ไหม คือในขณะที่เขาโพสต์คลิปนั้น เขากำลังโกรธเราอยู่เลย มันเป็นวันครบแต่งงานของเรา ซึ่งเราลืม แล้วเราก็นั่งดูทีวีอยู่ เอ๋ก็ถามว่าไม่ไปกินข้าวที่ไหนเหรอ เราก็บอกว่าไม่ไปแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาว่าแต่วันนี้วันครบรอบนะ เราก็เอ้า! แล้วทำไมไม่บอกล่ะจะได้เตรียมตัว
เราก็อาศัยฉีกไปทางโมโหนิดนึงเขาจะได้ตกใจ เขาก็แบบแล้วทำไมต้องพูดแบบนี้ ทำไมต้องมาพูดให้เสียใจด้วย แล้วก็เดินไปเลย มาคุไหมล่ะ หลังจากนั้นเขาก็ไปโพสต์คลิปนี้ที่เราทำท่ายกมือไหว้ แล้วก็บอกว่าทุกครั้งที่โกรธเห็นคลิปนี้แล้วก็จะหายโกรธ แต่ว่าตอนนี้ก็ยังโกรธอยู่นะ”
แล้วในคลิปนั้นทำอะไรถึงต้องยกมือไหว้
“โวยวายอะไรไม่รู้ คือเอ๋เป็นคนชอบพูดอะไรหวานๆ พูดให้เอาใจ แต่เราชอบขี้บ่น เอ๋เขาก็จะน้อยใจ ซึ่งน้อยใจทุกวัน แต่วิธีการน้อยใจของเอ๋พัฒนาขึ้นคือเงียบ แต่นี่เราก็โทรไปง้อแล้วนะว่าอย่างอนเลย คิดว่าเขาน่าจะดีแล้วนะ ถามว่าดูเป็นการกระชับรักอยู่ตลอดมั้ย ดีขึ้นๆ ดีขึ้นในที่นี้หมายความว่า เราเรียนรู้ที่จะเอาใจเขามากขึ้น คือเขาก็พัฒนาขึ้น ความต้องการของเขาก็พัฒนาเพิ่มมากขึ้นไปอีก หลังจากที่เราโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว”
ที่ผ่านมาเอ๋ดูแลเราดีมาก
“ถ้าเราไม่มีเขา เราคงอยู่ลำบากเหมือนกัน อันนี้พูดจริงๆ เราก็คงจะกินอยู่ลำบากกว่านี้ หรือใช้ชีวิตแบบผู้ชายๆ ไปเลย ง่ายๆ ไปหมดเลย แล้วความง่ายของเรามันก็คือง่ายจริงๆ ง่ายจนแบบผู้หญิงก็คงจะไม่เข้าใจเหมือนกัน แล้วเขาเป็นคนรายละเอียดเยอะ อัดวิตามินให้เราด้วย พาเราไปเสริมหล่อด้วย
ร้านหมออะไรนี่เราก็ตามเขาไป เราไม่เคยคิดเองได้หรอก ถึงได้บอกไงว่าทุกวันนี้เราจะมีการแต่งตัวที่ดูดีหรือว่าสุขภาพเราจะดีอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีเขาคอยดูแลอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับเราเป็นส่วนผสมของกันและกัน”
ที่ผ่านมามีข่าวเม้าท์คู่รักดาราแต่งงานมานานขาเตียงสั่นคลอน หนึ่งในนั้นมีชื่อคู่เราด้วย เคยคุยกันเรื่องนี้บ้างไหม
“คุยกันตลอดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้นะเอ๋ สิ่งที่เราพูดในวันนี้อีกสามปีข้างหน้ามันอาจจะไม่ใช่อย่างนี้ก็ได้ แต่สิ่งที่จะยึดมั่นตัวเราเอาไว้ได้ ก็คือใจเราต้องนิ่งนะ นิ่งในที่นี้หมายความว่า ต้องรู้จักให้อภัยกัน คือทุกคนทำสิ่งผิดพลาดได้ตลอดอยู่แล้วในทุกๆ วันเลย บางทีเราก็อาจจะพลาดไปแบบไม่ได้ตั้งใจ
แต่เอ๋เดี๋ยวนี้เขาดีตรงที่เขาเรียนรู้ที่จะให้อภัยเราได้เร็วขึ้น เมื่อก่อนเคยโกรธเป็นเดือนๆ ซึ่งพอได้พูดคุยกันเขาก็เข้าใจว่า วันนึงอะไรมันก็เกิดขึ้นได้จริงๆ วิธีการก็คือต้องประคับประคอง เราเคยถึงขั้นจะเลิกกัน เคยเซ็นใบหย่าแต่ว่าเรื่องเซ็นนี่เป็นการแก้เคล็ด แต่ว่าก่อนที่จะแก้เคล็ดมันก็ทะเลาะกันหนักมาก ทะเลาะแบบไม่มีอะไรดีเลย
แล้วเรารู้ว่าจุดนั้นมันมีจุดที่ไม่ไหวแล้ว แยกเหอะ เห็นแววตาของกันและกันก็รู้ว่ามันเริ่มไม่ไหวแล้ว แต่หลังจากที่ไปแก้เคล็ดมาไม่เคยมีแบบนั้นอีกเลย แต่ถามว่ายังกลัวว่าจุดนั้นจะกลับมาอีกไหม กลัวเสมอ แต่จะบอกว่าทำให้ดีที่สุด วิธีการมีครอบครัวหรือว่าคบกันไปนานๆ คือต้องทำให้ดีที่สุด
บางครั้งมันมีข้อไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้มองข้ามไป แล้วไปมองข้อดีที่มีให้กันดีกว่า อะไรปล่อยผ่านได้ก็ช่างมันเถอะ อีกอย่างทุกวันนี้เราสองคนก็โตขึ้นด้วย เราก็เรียนรู้ที่จะเบาลง เขาก็เรียนรู้ที่จะ เออ เราเป็นอย่างนี้แหละ ทุกวันนี้มันก็เลยยังอยู่ด้วยกันได้”
มีโอกาสจะพาลูกไปเรียนต่างประเทศไหม
“เอ๋ไม่ค่อยอยากให้ไป เราก็ด้วย แต่วันนึงคิดว่าลูกก็คงต้องไป เพราะว่าทุกวันนี้ลูกเรียนโรงเรียนที่เป็นหลักสูตรของอังกฤษ แล้วเพื่อนๆ ส่วนใหญ่เขาก็จะไปกัน ถึงวันนั้นก็ไม่เป็นไร ไปก็ไป เตรียมใจยังไม่เท่าไหร่ ต้องเตรียมเงินมากกว่า แต่เอ๋เคยคุยกับเรา ว่าเราเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่นี่ก็ได้ เพราะว่าเราก็อยากให้ลูกอยู่กับเรา
อย่างบางคนก็จะมองว่า ผมไปเรียนเมืองนอกมาก่อนน่าจะอยากให้ลูกไปเหมือนกัน เพราะว่าเราเคยไปอยู่ไงถึงไม่ชอบไง คือไม่ได้ชอบมาก แล้วอีกอย่างตอนนี้ลูกคนโตเพิ่งอายุ 11 ขวบเอง ยังไม่ถึงเวลา แล้วถ้าลูกต้องไปเรียนต่างประเทศจริงๆ คิดว่าคงทนไม่ได้กันทั้งคู่ เพราะว่าติดลูกกันทั้งคู่เลย ติดแบบติดรุนแรง
แต่ลูกก็เริ่มที่จะไม่ติดเราแล้วนะ เริ่มมีออนไลน์คุยกับเพื่อน คือระยะของเรากับลูกมันเริ่มห่างกันพอสมควร แต่ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เราก็เข้าใจเขาด้วย เพราะว่าเด็กก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีโลกของตัวเองมากขึ้น”
เตรียมใจเรื่องลูกจะต้องมีแฟนไว้บ้างหรือยัง
“ยังๆ แต่เตรียมใจในเรื่องที่ว่า เรามานั่งวิเคราะห์กันว่าลูกจะอยู่กับเราจริงๆ แค่ 18 ปีนะ ตอนนี้เขาอายุ 11 ปีแล้ว เรายังมีเวลาอีก 7 ปี ในการที่จะอยู่แบบสนิทสนมนอนกอดกันกับลูก หลังจากนั้นพอเหมือนกับเขาจบม.6 เขาก็จะโบยบินแล้วนะ
เขาจะไปอยู่หอ ไปเรียนหนังสือที่โน่นที่นี่ แล้วหลังจากที่เขาไปเรียนแล้ว เขาก็จะไปทำงาน แยกไปอยู่คอนโดที่ใกล้กับที่ทำงาน เขาก็จะไม่อยู่กับเราแล้ว พูดง่ายๆ เหมือนนกที่ต้องบินออกจากรังไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักเรานะ แต่ชีวิตเขาต้องไปแบบนี้ เราเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน”
สุดท้ายอยากรู้ว่าทำไมถึงรักผู้หญิงคนนี้ แถมยังคลั่งรักกันอยู่ตลอดเวลา
“เอ๋เป็นผู้หญิงที่ไม่ให้โอกาสใคร เรารู้สึกปลอดภัยเสมอเวลาที่เอ๋ไปอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ เรารู้เลยว่าเขาไม่ได้เป็นผู้หญิงที่โปรยเสน่ห์ ไม่บริหารเสน่ห์อะไรให้กับตัวเอง แต่เป็นคนที่มีความงาม นอกจากความสวยที่ทุกคนอาจจะเห็นภายนอก
แต่จริงๆ คือเขาเป็นคนจิตใจดี มีความงามในใจ ดูแลครอบครัวดี รักลูกและดูแลลูกได้ดี เพราะฉะนั้นผมว่าผู้ชายทุกคนถ้ามองหาผู้หญิงสักคนที่จะมาช่วยดูแลครอบครัวของเขา ดูแลลูกของเขา ผมว่าเอ๋เขาก็เป็นคนที่น่าจะเหมาะสมกับเราที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หลังจากนี้พร้อมแล้ว ถ้าต้องมีบทเลิฟซีนจูบจริง
“ยังๆ (หัวเราะ) ยังไม่พร้อม ที่พูดไปเมื่อกี้มันเป็นความก๋ากั่นของเราเท่านั้น บางทีเราก็พูดส่งเดชไปอย่างนั้นแหละ เอาจริงๆ ถ้าต้องเป็นละครแนวนี้ ที่ต้องมีจูบเยอะๆ เราอาจจะเลือกไม่รับเล่น เพื่อความสบายใจของเราด้วย”
แต่ฉากเลิฟซีนน่าจะสบายกว่าฉากบู๊
“เออ แต่มันก็ไม่สบายใจเราไง คือพอเราทำงานมาถึงจุดนี้ เราสามารถเลือกในสิ่งที่เราจะทำแล้วแฮปปี้ได้ มากกว่าเราทำแล้วเรารู้สึกลำบากใจ ฉะนั้นเราก็เลือกที่จะไม่ทำดีกว่า งานมันให้เงินจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นทุกอย่าง ต้องเข้าใจว่าเราโตมากับการเล่นจูบหลอกมา 20 ปี แล้วพอเราต้องมาจูบจริงมันเป็นวิธีการที่ไม่ถนัดเลย”
ส่วนตัวคิดว่าจูบจริงจำเป็นสำหรับละครไทยไหม
“เราว่ามันเป็นเรื่องของ 2 ทางนะ มันอาจจะไม่จำเป็น ถ้าจูบใช้ผิดที่ผิดทาง เช่น ถ้าผู้กำกับชอบ อยากจะมีไว้เพื่อแค่ดึงเรตติ้ง ทั้งที่มันไม่มีความจำเป็น อันนี้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างที่บอก ถ้าฉากนั้นมันจำเป็นต้องจูบ เพราะว่ามันไม่ไหวแล้ว มันจะดึงความสนใจเราไปมากกว่าการจูบไง
คนอาจจะรู้สึกถึงความสมหวังในการจูบนั้นมากกว่าแค่คนจูบกัน แต่รู้สึกอิ่มเอมว่าจูบกันสักที อันนี้มันเป็นเรื่องฟีลลิ่งละ ถ้าจูบโดยใช้ฟีลลิ่งเราว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ถ้าจะต้องจูบเพื่อดึงเรตติ้งอันนั้นเราก็เข้าใจได้อีกเช่นเดียวกัน”
ส่วนตัวเลือกที่จะให้ลูกรับรู้ในผลงานที่เราแสดงมากน้อยแค่ไหน
“เขาไม่ค่อยสนใจในงานของเราเท่าไหร่หรอก คือเด็กก็จะดูพวกการ์ตูน แล้วงานของเราเป็นงานละครกลางคืน ซึ่งมันยังไม่ควรให้เด็กดู เราก็เลยยังไม่ได้ให้เขาดูงานของเรา แต่เคยมีให้ดูเรื่องหนึ่งคือ สายลับสามมิติ ที่ใส่ผ้าพันคอสีแดง เรื่องนั้นเขาก็ชอบ แต่อันอื่นเรายังไม่ให้ดูเท่าไหร่ เพราะบางทีเราเล่นละครแรงๆ อย่างเรื่อง คมแฝก เป็นละครบู๊รุนแรง เราก็เลยยังไม่อยากให้เขาเอาคมแฝกไปตีหัวใคร”
แล้วลูกรู้ไหมว่าคุณแม่เคยเป็นนางร้ายอันดับหนึ่งมาก่อน
“เขาก็ไม่รู้ แต่เขาคิดว่าเป็นนางร้ายระดับหนึ่งในบ้านแน่ๆ(หัวเราะ) แต่เขาก็รู้ว่าทั้งพ่อและแม่เป็นนักแสดง เพียงแค่ว่าในเรื่องของบทบาทใครเป็นยังไงฝอันนั้นเขายังไม่รู้”
เอ๋กลับมาเล่นละครแล้ว ในรอบ 11 ปี
“ใช่ๆ เล่นแล้ว กำลังถ่ายทำอยู่ คือเอ๋เขาก็รอวันนี้มานานแล้วแหละ น่าจะประมาณ 11 ปีที่ไม่ได้เล่นละครเลย ไม่ใช่ว่าผมห้ามไม่ให้เล่น แต่หนึ่งคือเขาไม่เล่นของเขาเอง เพราะไม่มั่นใจเรื่องรูปร่าง จนมาถึงช่วงที่เขาพีคสุดๆ กลับมาใส่ชุดว่ายน้ำ
เขาเหมือนมาถึงจุดที่แบบฉันพร้อมแล้ว ที่จะกลับมาสู่เวทีของตัวเอง หลังจากนั้นละครของ แอน ทองประสม ก็เริ่มติดต่อมา เขาก็รับเล่นเลย ตอนนี้เอ๋ก็เครียดผมร่วงอยู่เลยเพราะบทยากมาก(หัวเราะ)”
ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่รับงานละครทั้งคู่แล้ว แบ่งเวลาให้กับลูกอย่างไร
“นี่คือตรงตามที่วางแผนเลย ลูกเริ่มโตแล้วดูแลตัวเองได้ สมมติว่าถ้าป๊ะกันจริงๆ ป๋อกับเอ๋ต้องไปทำงานคู่ ลูกก็จะอยู่กับคุณยาย แต่เราก็จะจัดเรียงเวลากันเอาไว้ว่า ถ้าเอ๋ถ่ายบางทีป๋อก็จะว่าง ถ้าป๋อถ่ายเอ๋ก็จะว่าง แต่มันก็มีบางทีที่ชนกัน คุณยายก็จะเข้ามาเป็นตัวช่วยพิเศษ”
ถ้าเอ๋จะต้องมีถ่ายฉากเลิฟซีนเหมือนกันเรากังวลไหม
“ผมไม่กังวลเลย รักเมียอยู่แล้ว แต่ว่ามันเป็นงานของเขา คือถ้าเขาทำแล้วเขาเชื่อว่ามันเป็นการแสดง และมีความสุขก็ทำได้ ผมไม่ได้ติดอะไรเลย แต่ในเรื่องของเทคนิคการจูบก็ต้องมาดูอีก ว่าเอ๋จะจูบมากขนาดไหน(หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าจูบแบบตะบี้ตะบัน อันนั้นมันก็เกินไป”
เราขึ้นชื่อเรื่องหวงภรรยามากเหมือนกัน
“มันเป็นคอนเทนต์(หัวเราะ) คือเอ๋เขาก็อยากโชว์ไง ผู้หญิงพอความมั่นใจมันกลับมา เขาก็อยากโชว์ เราก็ให้เขาโชว์ไป เพราะที่ผ่านมาก็เห็นความอดทนในการไม่กิน ตั้งใจออกกำลังกายของเขามาตลอด แต่เมื่อก่อนไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าทำไมจะต้องโชว์อะไรอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เรารู้สึกว่า ถ้าเขามีความมั่นใจ และมีความสุขก็ยินดีกับเขาด้วย ไม่หวงแล้ว
เมื่อก่อนอาจจะหวงแหละ แล้วยิ่งพอตอนนี้เขาใส่บ่อยๆ เราก็เริ่มชินแล้ว หลังๆ เราเป็นคนถ่ายรูปให้เองด้วย ส่วนเรื่องชุดก็ไม่ค่อยได้สกรีน แต่ส่วนใหญ่เขาจะมาใส่ให้ดูก่อนว่า ชุดนี้เป็นยังไง อันไหนได้ อันไหนไม่ได้ เราก็คอมเมนต์ไป แต่โป๊มากมันจะยิ้มไปก็ไม่ได้ เอากลางๆ เรารุ่นใหญ่แล้วถ้าจะมาแหวกสูงเกินก็ไม่ดีกว่า”
"ป๋อ" เผยเคล็ดลับชีวิตคู่ ทำคลั่งรัก "เอ๋" มาตลอด ชมภรรยาให้อภัยเร็วขึ้น! - Sanook
Read More
No comments:
Post a Comment