วันอังคาร ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 13.24 น.
"สภาสูง"ถกญัตติ"ทำประชามติแก้รธน."เสียงแตกเป็น 2 ฝ่าย "ฝั่งหนุน"แนะควรเป็นสะพานทอดส่งต่อ ป้องส.ส.ใช้เป็นเครื่องมือครหา-ไม่เห็นเงาปชช. ส่วน"ซีกค้าน"หวั่นกระทบการปกครอง-สถาบันฯลามรุนแรง สุดท้ายลงมติคว่ำ
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มี พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร ในญัตติขอให้สภามีมติส่งเรื่องที่มีเหตุสมควรจะให้มีการออกเสียงประชามติให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการ พร้อมรายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญพิจารณาญัตติขอให้สภามีมติส่งเรื่องที่มีเหตุสมควรจะให้มีการออกเสียงประชามติให้ ครม.ดำเนินการ ที่มี นายสมชาย แสวงการ ส.ว.เป็นประธาน กมธ.
ทั้งนี้ เนื้อหาในรายงานดังกล่าวคัดค้านไม่ให้ส่งเรื่องต่อไปยัง ครม.เพราะการทำประชมติดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เนื่องจากเป็นคำถามที่ไม่ชัดเจน อีกทั้งทำให้ประชาชนไม่เกิดความเข้าใจในเนื้อหาสาระข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ชัดเจน
นายสมชาย กล่าวว่า การทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญตามข้อเสนอที่ให้ทำวันเดียวกับวันเลือกตั้งที่จะมาถึง กมธ.เห็นว่ามีความเป็นไปไม่ได้ เพราะกรอบการทำประชามติต้องดำเนินการภายในไม่น้อยกว่า 90 วัน แต่การเลือกตั้งหากยุบสภาต้องเลือกตั้งภายใน 45 - 60 วัน หรือครบวาระต้องเลือกตั้งภายใน 45 วัน อีกทั้งจากการรับฟังการชี้แจงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทราบว่าต้องใช้งบประมาณ และเจ้าหน้าที่จำนวนมาก โดยในการเลือกตั้งที่จะมาถึงต้องมีหน่วยเลือกตั้ง 9 หมื่นหน่วย มีเจ้าหน้าที่หน่วยละ 9 คน ขณะที่การทำประชามติต้องมีเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการหน่วยละ 5 คน ขณะที่การทำประชามติต้องใช้งบประมาณมาก โดย กมธ.พิจารณาแล้วเห็นว่าต้องทำประชามติ 3 รอบ รอบแรก คือ ถามว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรมนูญหรือไม่ หาเห็นด้วยต้องกลับมาแก้ไขตามกระบวนของรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อให้มีองค์กรแก้ไขเนื้อหา จากนั้นต้องกลับไปทำประชามติอีกครั้ง และเมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญอีกครั้งต้องทำประชามติอีก จากนั้นที่ประชุมเปิดโอกาสให้ ส.ว.ร่วมอภิปราย ซึ่งมีสมาชิกทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุนให้ส่งเรื่องขอทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต่อไปยัง ครม.
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.อภิปรายว่าตนสนับสนุนให้ออกเสียงเห็นชอบ เพราะตามกระบวนการของกฎหมายประชามติ ในหลักการกำหนดให้เป็นอำนาจของ ครม.ไม่ใช่วุฒิสภา ดังนั้น ส.ว.ไม่ควรขัดขวาง
นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ส.ว.อภิปรายสนับสนุนต่อการจัดให้มีการออกเสียงประชามติทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะมองว่าหากผลประชามติเห็นด้วยจะเป็นช่วงที่ ส.ว.ชุดปัจจุบันมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ในเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียง ส.ว.เห็นชอบด้วยจำนวน 1 ใน 3 ซึ่งสามารถยับยั้งได้ แต่หากปล่อยให้อำนาจ ส.ว.หมดไป รอให้มี ส.ว.ชุดใหม่ที่มาจากพรรคการเมือง ยิ่งแก้ไขง่ายกว่าปัจจุบัน และการกำหนดประเด็นคำถามสามารถกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมได้
นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว.อภิปรายว่า หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อยากถามว่าสาระที่จะแก้ไข โดยเฉพาะหมวดหนึ่งว่าด้วยความมั่นคงของรัฐ และหมวดสองว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าแตะตรงนั้นประเทศไทยจะร้อนเป็นไฟ และอาจเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.อภิปรายว่า ถ้าไม่ผ่านญัตตินี้ ฝ่าย ส.ส.จะหยิบไปอ้างว่า ส.ว.ไม่เห็นเงาประชาชน อุตส่าห์ให้ประชาชนทำประชามติตัดสินใจจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ แต่ ส.ว.กลับปิดทาง ซึ่ง ส.ส.จะนำไปกล่าวอ้างในการหาเสียงว่า ส.ว.เอาพรรคนั้นไม่เอาพรรคนี้
"ถามว่าเรารู้ทันหรือไม่ การเมืองกำลังจะเอา ส.ว.เป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนเสียง นี่คือการเมือง จึงอยากให้ ส.ว.ค่อยๆ คิด นี่เป็นเพียงแค่ข้อเสนอจากทางสภาผู้แทนราษฎร จะทำได้หรือไม่อยู่ที่ ครม.ดังนั้น เห็นด้วยที่ควรจะรับเรื่องนี้ไว้แล้วให้ไปดำเนินการในชั้น ครม.ต่อไป ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับเรื่องนี้ ส.ว.แค่รับเรื่องเป็นสะพานทอดไปให้ ครม.พิจารณาต่อ เราจะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือในทางการเมืองเพื่อให้ ส.ส.หยิบไปกล่าวอ้างได้" นายเสรี กล่าว
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.อภิปรายว่า ถ้าเราเห็นด้วยต่อญัตตินี้ มีแต่ได้กับได้ เพราะอาจทำให้ ส.ว.มีโอกาสมีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะทำให้วุฒิสภามีภาพพจน์ที่ดี อย่างน้อยที่สุดมีประชาธิปไตยในบางจุด และการเห็นด้วยให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ไม่ทำให้ใครเสียหาย แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ส.ว.จะเสียโอกาสสุดท้ายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเสียภาพพจน์ต่อวุฒิสภาอย่างยิ่ง เพียงแค่ข้อเสนอ ส.ว.แล้วยังปฏิเสธจะเป็นการเสริมภาพพจน์ที่คนภายนอกมองอยู่เดิม และเป็นการเติมใส่ไฟป้ายสีของพรรคการเมือง ดังนั้น ตนจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งและสนับสนุนให้รับข้อเสนอของสภาผู้แทนราษฎร
จากนั้นเวลา 13.10 น.นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ให้สมาชิกลงมติ ปรากฏว่า ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ของ ส.ว.ไม่เห็นชอบผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรขอทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ โดยส่งให้ ครม.ดำเนินการ ด้วยคะแนน 157 ต่อ 12 งดออกเสียง 13 ไม่ออกเสียง 1 เสียง ทั้งนี้ ประธานวุฒิสภาจะได้แจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
- 006
'ส.ว.'เสียงแตก! 'สภาสูง'ถกญัตติ'ทำประชามติแก้รธน.' สุดท้ายลงมติคว่ำ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Read More
No comments:
Post a Comment