สุดช้ำ "นักศึกษาสาว" เปิดปากเล่าวินาทีช่วยอาจารย์ทำวิจัย แต่เจออุบัติเหตุโดนสารเคมีจนตาบอด พร้อมเผย "เข้าใจคำว่าเฮือกสุดท้ายของชีวิต"
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 13 มกราคม 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวีช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับ น้องกิ๊บ นักศึกษาหญิงช่วยอาจารย์ทำวิจัย เจออุบัติเหตุโดนสารเคมีตาซ้ายบอด อาจารย์ช่วยค่ารักษามา 3 ปีเศษ ล่าสุด แจ้งหยุดให้ความช่วยเหลือ ลั่นช่วยมาเยอะแล้ว
น้องกิ๊บ อายุ 24 ปี นักศึกษาที่ประสบอุบัติเหตุจนตาบอด เล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนเรียนชั้นปี 3 วันนั้น 31 ส.ค. เพื่อนโทรมาบอกว่าอาจารย์ให้เอางานวิจัยของตัวเองไปให้อาจารย์ดู เขาจะเช็กให้ เลยให้พ่อไปส่งตอนตี 4 เพื่อจะไปเจออาจารย์ตอน 8 โมง โดยนั่งรถประจำทางจากบ้านที่ จ.ศรีสะเกษ ไปมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ใน จ.อุบลราชธานี ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องไปช่วยอาจารย์ทำวิจัยด้วย
แต่ไปถึงไม่ได้เอางานวิจัยตัวเองให้อาจารย์ดู แต่ไปช่วยงานวิจัยอาจารย์ก่อนในห้องปฏิบัติการ ซึ่งที่ผ่านมาเลี่ยงมาโดยตลอด วันนั้นช่วงเช้าที่ช่วยงานยังปกติ แต่ตอนเย็นหลังกลับออกมาจากห้องปฏิบัติการนั้น เห็นเพื่อนกำลังผสมสารอยู่ โดยเพื่อนบอกว่าไม่ไหวแล้ว ปวดหัว เราสงสารเพื่อนเลยช่วย ซึ่งอาจารย์ผู้หญิงก็ยืนอยู่แถวนั้น แต่ก็ไม่ได้บอกอะไร
กระทั่งผสมหลอดที่ 2 มันกระเด็นเข้าหน้าเข้าตา หลังจากนั้นก็ปวดแสบปวดร้อน แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เข้าใจคำว่าเฮือกสุดท้ายของชีวิตเป็นยังไง มันแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก จากนั้นอาจารย์ก็พาเราไปห้องน้ำเพื่อเอาน้ำราด ช่วงหันไปมองกระจกเห็นเหมือนคอนแทคเลนส์หลุดออกมาเลย ซึ่งเราไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ คิดว่าน่าจะเป็นกระจกตาข้างซ้ายของเราหลุดมาอยู่แถวๆ หางตา แล้วก็พาส่งโรงพยาบาล
คุณแม่ดอกไม้ แม่ของนักศึกษาหญิง เล่าว่า หลังจากนั้นอาจารย์ผู้หญิงก็โทรมาแจ้งคุณแม่ โดยลูกสาวไปโรงพยาบาล 2 แห่ง แต่อาการไม่ดีขึ้น เลยคุยปรึกษากันกับญาติว่าต้องมารักษาที่กรุงเทพฯ ซึ่งการรักษาโรงพยาบาลแจ้งว่า รอเปลี่ยนกระจกตา และไม่รู้ว่ากระจกตาที่เปลี่ยนเปลี่ยนเซลล์เราจะเข้ากับอันใหม่ที่เอามาเปลี่ยนไหม ทุกวันนี้ต้องใส่แว่นกรองแสง.
อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" พร้อมกันได้ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.
นักศึกษาสาว เปิดปากเล่าวินาทีสุดช้ำ ช่วยอาจารย์ทำวิจัย โดนสารเคมีตาบอด - ไทยรัฐ
Read More
No comments:
Post a Comment