ปฎิเสธไม่ได้ว่าศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐในครั้งนี้ ระหว่างพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับพรรครีพับลิกันที่มีอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหัวหน้าซึ่งเป็นไปอย่างเข้มข้น ขณะที่นักลงทุนต่างพากันลุ้นว่าใครจะได้เสียงข้างมากจนเป็นผู้ชนะในเกมเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริหารเศรษฐกิจ และการลงทุนในตลาดทุน แม้ขณะนี้สหรัฐยังคงต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ เปิดเผยกับ 'กรุงเทพธุรกิจ' ถึงกรณีเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐครั้งนี้ว่า ผลของการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรนั่น มีด้วยกัน 2 - 3 ประเด็น แม้ตลาดจะคาดการณ์ไปแล้วก็ตาม ซึ่งหากการเลือกตั้งวุฒิสภายังคงเหมือนเดิมที่พรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เสียงข้างมาก หรือรักษาฐานเสียงไว้ได้
ขณะที่สภาล่าง ซึ่งตลาดทุนคาดว่า จะเป็นของพรรคริพับลิกันได้ ถ้าออกมาแบบนี้ จะทำให้การบริหารราชการอาจจะไม่เรียบง่ายเหมือนเดิม ตรงนี้ก็น่าจะเป็นประเด็นความเสี่ยง แต่ต้องรอดูว่า คะแนนเสียงที่ออกมานั้นจะมีความแตกต่างขนาดไหน และถ้าพรรคริพับลิกันได้แล้ว สภาล่างจะชนะมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากเกิดคะแนนไม่ได้ชนะมากมายก็อาจจะไม่มีผลอะไร
อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งออกมาพรรครีพับลิกันชนะขาดลอย อาจทำให้การบริหารงานของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ไม่เรียบง่ายเหมือนเดิม เพราะว่าเมื่อมีการแบ่งกันแล้ว กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะไม่ราบรื่นเหมือนเดิม และที่สำคัญปัญหาเพดานหนี้สหรัฐ ซึ่งมีกฎหมายที่ไม่สามารถกู้เกินเพดานหนี้ได้ เนื่องจากเพดานหนี้ของสหรัฐไม่ได้เหมือนในประเทศไทยที่ขยับทีเดียว 60 เป็น 70% ได้เลย แต่ของสหรัฐขยับไม่ได้มาก ทำให้เพดานหนี้ยังต้องมีประเด็นที่ต้องจับตาดูในอีก 1 -2 เดือนข้างหน้า
“ถ้าพรรคเดโมแครต สามารถรักษาวุฒิสภาได้ และสภาล่างไม่ได้แพ้มาก กรณีนี้ถือว่าตลาดรับรู้ไปบ้างแล้วจึงไม่น่าจะปรับตัวลงแรง แต่ถ้าเกิดสภาล่างแพ้มากๆ ก็อาจจะกระทบตลาดได้ เพราะจะทำให้การบริหารงานทำได้ยาก ยิ่งถ้าพลิกล็อกชนะทั้ง 2 สภา แบบนี้จะยิ่งเป็นข่าวดีต่อตลาดทุน เพราะทำให้ ไบเดน บริหารงานได้ง่ายขึ้น"
นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐในครั้งนี้มีอยู่ 2 มุมที่น่าจับตาคือ หากดูสถิติย้อนหลังถ้าคะแนนเสียงออกมาค่อนข้างแตกต่าง เช่น พรรคริพับลิกัน ได้สภาล่าง ขณะที่พรรคเดโมแครต ได้สภาสูง หรือถ้าคะแนนก้ำกึ่ง 50 ต่อ 50 นั่นเป็นการส่งสัญญาณว่า ตลาดหุ้นมักจะดีไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากนโยบายไม่สามารถที่จะเอนทิศทางไปในทางสุดโต่งมากไปได้ เนื่องจากจะมีพรรคตรงข้ามคอยยันไว้อยู่ นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วงที่ผ่านมา ถ้าคะแนนเสียงไม่เด็ดขาดส่วนใหญ่ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง แม้ว่า นักลงทุนต่างจับจ้องให้ความสนใจกับการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐในครั้งนี้ แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงบ้านเราต่างยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากกว่า แม้หากผลของการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไรน่าจะไม่มีผลกับตลาดหุ้นมากนัก ถ้าเทียบกับการประกาศเงินเฟ้อที่ทุกคนต่างเฝ้ารอดูว่า เฟดจะทำอย่างไรต่อกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละครั้ง
ลุ้นศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ หวั่นทำ 'ตลาดหุ้นโลก' ป่วน - กรุงเทพธุรกิจ
Read More
No comments:
Post a Comment