ต่อมาในปี 2556 โครงการทวาย ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา ด้วยการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Dawei SEZ Development Company Limited หรือ “SPV”) ร่วมกันผลักดันและกำหนดนโยบายการพัฒนาโครงการ และได้มีการพิจารณาให้สิทธิกับบริษัทให้ได้รับการชดเชยเงินคืนในส่วนของเงินลงทุนพัฒนาโครงการทวายที่กลุ่มบริษัทได้ลงทุนไปก่อนหน้า จากผู้ลงทุนรายใหม่ของแต่ละโครงการ
ตามข้อสรุปรายงาน Due Diligence ภายใต้สัญญา Tripartite Memorandum หรือได้รับสิทธิพัฒนาที่ดินในโครงการเพิ่มเติม (Land Right Option) สำหรับการพัฒนาและบริหารจัดการโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะเริ่มแรก
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 กลุ่มบริษัทผู้รับสัมปทานสำหรับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะเริ่มแรก ได้รับหนังสือจากคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย แจ้งยกเลิกสิทธิสัมปทานทุกโครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะเริ่มแรก
โดยให้เหตุผลว่ากลุ่มบริษัทผู้รับสัมปทานผิดเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานเกี่ยวกับการจ่ายชำระค่าสิทธิสัมปทานรายปี และผิดเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานโครงการนิคมอุตสาหกรรมและถนนสองเลนเชื่อมต่อพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและชายแดนไทย-เมียนมา (Initial Industrial Estate and Two-lane Road) โดยคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
หนังสือดังกล่าวได้มีการแจ้งให้กลุ่มบริษัทผู้รับสัมปทานนี้ดำเนินการให้ ITD ลงนามหนังสือขอยกเลิกสิทธิในการได้รับชดเชยเงินลงทุนที่กลุ่มบริษัทได้ลงทุนไปก่อนหน้าภายใต้สัญญา Tripartite Memorandum
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 กลุ่มบริษัทผู้รับสัมปทานได้ส่งหนังสือโต้แย้งเกี่ยวกับเหตุแห่งการยกเลิกสิทธิสัมปทาน เพื่อชี้แจงกลับไปยังคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เนื่องจากเห็นว่าการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมนั้น ทางกลุ่มบริษัทผู้รับสัมปทานไม่ได้เห็นชอบด้วย เพราะเป็นการกำหนดขึ้นเพียงฝ่ายเดียวของคู่สัญญา
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทผู้รับสัมปทานยังได้เสนอไปยังคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเพื่อขอเจรจาหารือร่วมกันในประเด็นดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอหน่วยงานดังกล่าวพิจารณาหารือร่วมกัน
บริษัท แกรนท์ ธอนตัน จำกัด ผู้ตรวจสอบบัญชี มีความเห็นว่า แม้ว่าสิทธิในการได้รับเงินชดเชยเงินลงทุนในการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่กลุ่มบริษัทได้ลงทุนไปก่อนหน้า ยังคงเป็นไปตามสัญญา Tripartite Memorandum
อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่กลุ่มบริษัทจะได้รับชดเชยนั้น ขึ้นอยู่กับผลสรุปของรายงาน Due Diligence ซึ่งบริษัทยังไม่มีสิทธิในการเข้าถึงรายงานดังกล่าวได้ และขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะสมบูรณ์ (Full Phase) ซึ่งอาศัยการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมาในการผลักดันโครงการสัมปทานต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการเข้ามาลงทุนของผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่สนใจลงทุนในแต่ละโครงการสัมปทาน
ขณะที่ผู้บริหารของกลุ่มบริษัทไม่สามารถประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของต้นทุนระหว่างพัฒนาสำหรับสิทธิในสัมปทาน - โครงการทวาย ว่าจำนวนเงินที่จะได้รับชดเชยคืนนั้นจะมีมูลค่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าต้นทุนพัฒนาโครงการที่กลุ่มบริษัทได้บันทึกไว้ในงบการเงินหรือไม่
นอกจากนี้ ผลกระทบจากการแจ้งยกเลิกสิทธิสัมปทานทุกโครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะเริ่มแรก (“DSEZ Initial Phase”) ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (“DSEZ MC”) ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ในปัจจุบัน
อีกทั้งสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจภายในของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ยังคงมีความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการดังกล่าวของกลุ่มบริษัทในอนาคต
บริษัท แกรนท์ ธอนตัน จำกัด ผู้ตรวจสอบบัญชี จึงมีความเห็นว่าเห็นว่ายังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น (ถ้ามี) ต่อยอดคงเหลือของต้นทุนระหว่างพัฒนาสำหรับสิทธิในสัมปทาน - โครงการทวาย ในงบการเงินรวมและเฉพาะของบริษัท และต่อมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อย และเงินให้กู้ยืมระยะยาวแก่กลุ่มบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะของบริษัท และไม่สามารถพิจารณาผลกระทบที่อาจมีต่องบการเงินรวมและเฉพาะของบริษัท เนื่องจากความไม่แน่นอนและข้อจำกัดของสถานการณ์
ย้อนรอย เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ทำเงินลงทุน ITD จม 7.8 พันล้าน - ฐานเศรษฐกิจ
Read More
No comments:
Post a Comment