ประชาธิปัตย์ เปิดเสวนา ฟัง-คิด-ทำ : ถึงเวลาหยุดคนโกง หยุดงบประมาณรั่วไหล “มาดามเดียร์” ยันต้านโกงเป็นบทบาทสำคัญพรรคการเมือง ด้าน "มานะ" เลขาฯองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ชี้วัฒนธรรมในระบบราชการ ต้นตอคอร์รัปชัน
ที่ลานกิจกรรมสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี พรรคประชาธิปัตย์จัดกิจกรรม “ฟัง-คิด-ทำ : ถึงเวลาหยุดคนโกง หยุดงบประมาณรั่วไหล” เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล โดยมีการเปิดเสวนามุมมองจากภาควิชาการ การเมือง และภาคธุรกิจ ประกอบด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส. ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอสซี) นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โดย น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าประเทศไทยจะมีเหตุการณ์สำคัญ คือ การนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 2566 กิจกรรมฟังคิดทำจึงเป็นกิจกรรมที่สำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นก่อนจะนำไปสู่กระบวนการตกผลึกจัดทำเป็นนโยบาย และวันนี้เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญคือเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
ซึ่งบทบาทในการต่อต้านการคอร์รัปชันถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญบทบาทของพรรคการเมือง และวันนี้เห็นได้ชัดว่า ประชาชนมองว่าประเทศไทยยังอยู่ในหลุมดำของการทุจริตคอร์รัปชัน และปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญให้หลายประเทศไม่สามารถพัฒนาได้ คือปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน
ดังนั้นวันนี้พรรคประชาธิปัตย์จึงมีความตั้งใจและจะแสดงให้เห็นว่าเอาจริงเอาจังในการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและให้ความสำคัญกับเรื่องของการทำงานอย่างโปร่งใสของภาครัฐ เพื่อยกระดับของประเทศ
ด้าน ดร.มานะ กล่าวว่า วันนี้รู้สึกเซอร์ไพร์ส ซึ่งตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ตนเคลื่อนไหวเรื่องการต่อต้านการคอร์รัปชัน น่าจะเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองจัดเวทีแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่กล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ เนื่องจากปัญหาคอร์รัปชัน ส่วนหัวของปัญหาคือภาคของการเมือง เพราะภาคการเมืองมีอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะ มีอำนาจกำหนดงบประมาณ
รวมถึงการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ทุกวันนี้ประเทศไทยมีแผนงานด้านการต่อต้านการคอร์รัปชันจำนวนมาก แต่ไม่มีการปฏิบัติจริง อีกทั้งรากฐานของการคอร์รัปชันที่เอาชนะไม่ได้คือการทำอะไรแล้วไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้อีกปัจจัยสำคัญของการคอร์รัปชัน คือ วัฒนธรรมในระบบราชการ ที่ยังชินชากับการคอรัปชัน การรับส่วย รับสินบน
ส่วน ดร.อรรถกฤต มองว่า การทุจริตคอร์รัปชันขึ้นอยู่กับการผูกขาดธุรกิจและการเมือง การใช่ดุลพินิจของระบบราชการและการเมืองในการตัดสินใจทำนโยบายต่างๆ ซึ่งการจะทำให้การคอร์รัปชันลดลงคือต้องมีองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบ โดยประเทศไทยมีองค์กรในการตรวจสอบจำนวนมาก แต่มีประสิทธิภาพหรือไม่ สามารถดูได้จากการจัดอันดับของหน่วยงานนานาชาติ จะเห็นได้ชัดว่าประเทศไทย อยู่ในระดับต่ำลง ดังนั้นจะเห็นว่ากลไกองค์กรอิสระของประเทศไทยจึงอาจจะยังมีปัญหาอยู่ เพราะการจัดอันดับของประเทศไทยค่อนข้างได้คะแนนน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้ต่ำสุด
ซึ่งแผนนโยบายของชาติต้องการทำให้ดีขึ้น แต่ยังทำไม่ได้ การเพิ่มคะแนนเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก โดยอาจจะต้องใช้กลไกหรือองค์ประกอบของต่างประเทศในส่วนที่จำเป็นมาประยุกต์ เช่น กรณีไต้หวัน ที่มีการทำแพลตฟอร์มร่วมกันภาคเอกชน ภาคประชาชนในการเปิดเผยข้อมูล ดังนั้นจึงมองว่าใช้ระบบดิจิทัลมาช่วยในการจัดการข้อมูลจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้ระดับการทุจริตลดลงได้
ขณะที่นายสาทิตย์ ระบุ ต้องยอมรับว่านักการเมืองโอกาสก็จะเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณ และเรื่องของอำนาจ แต่ขณะเดียวกันฝ่ายการเมืองก็เป็นฝ่ายที่จะตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันเช่นกัน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยทำมาในอดีตที่เห็นได้ชัด เช่น การตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และเมื่อถามว่าเรื่องทุจริตคอร์รัปชันลดลงหรือไม่ จากข้อเท็จจริงต้องตอบว่าไม่ลดลง
ตนเป็น ส.ส.มา 7 สมัยตั้งแต่ปี 38 ผ่านรัฐบาลมา 10 รัฐบาล ผ่านการรัฐประหาร 2 รอบ ตนมองว่าการทุจริตคอร์รัปชันมีวิวัฒนาการ ซึ่งหากย้อนไปดูในยุคก่อนเดิมทีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดจากการรวมอำนาจไว้ที่คนใดคนหนึ่ง แล้วให้สัมปทาน หรืออนุญาต ซึ่งก็จะแปรสภาพไปเป็นการคอร์รัปชันได้ แต่เมื่อมีการสร้างเครื่องมือขึ้นมาเพื่อไปคานกับการรวมศูนย์ การทุจริตคอร์รัปชันจึงมีการวิวัฒนาการ เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและยากที่ประชาชนจะสามารถติดตามตรวจสอบได้ และ ปัจจุบันการคอร์รัปชันก็ได้มีวิวัฒนาการไปอีก เพราะตนมองว่าการคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะจำกัดความอย่างไรก็ตาม แต่การคอร์รัปชันเป็นเรื่องของการสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งคนที่ยอมจ่ายและคนที่ยอมรับ จึงทำให้จึงทำให้ยากที่จะมีคนออกมาพูด ยกเว้นว่าจะมีคนเสียประโยชน์
นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า ความน่ากลัวของการทุจริตคอร์รัปชัน คือ เรื่องของเมกกะโปรเจค โดยเฉพาะเรื่องของการจัดทำราคา และนำไปสู่การฮั้วประมูล ซึ่งประเทศไทยมีกฎหมายฮั้วมานาน แต่ที่ผ่านมาแทบไม่เห็นว่ามีคดีเกี่ยวกับการฮั้วถูกฟ้อง และอีกกรณีที่ต้องจับตามอง คือ กรณีตู้ห่าว ที่เป็นอีกหนึ่งที่ต้องจับตามองในการเลือกตั้งครั้งหน้าเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยเงินสด ตั้งแต่การเลือกตั้งท้องถิ่น จนถึงระดับประเทศ เพราะกรณีตู้ห่าวสัมพันธ์ทั้งเรื่องของยาเสพติด เรื่องของบ่อนพนัน มีการสมคบกับระบบราชการ ระบบการเมือง มีวงเงินหมุนเวียนจำนวนมาก โดยเป็นเงินสีเทาและสีดำ ดังนั้นเมื่อเป็นประชาธิปไตยเงินสด เงินสีเทากับเงินสีดำเหล่านี้จะไปไหน และที่ผ่านมาเราไม่เคยเจอ กกต. จับกรณีทุจริตซื้อเสียงได้ชัดเจน บางกรณีกว่าจะขึ้นศาลตัดสินได้ กว่าจะเลือกตั้งซ่อมได้ผ่านไปหลายปี
นายสาทิตย์ ยังกล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราเซนซิทีฟกับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมาก และมองว่าเจตจำนงความมั่นคงแน่วแน่ของผู้นำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อมีข้อสงสัยว่าจะเกิดการทุจริตใจโครงการใด การตัดสินใจของผู้นำเป็นสิ่งที่จำเป็น และที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการตรวจสอบ ป.ป.ช. เพราะที่ผ่านมาองค์กรอิสระมีข้อครหาว่ามาจากการแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ อีกทั้งยังเคยถูกยกขึ้นเป็นเงื่อนไงในการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ด้วย แต่ก็น่าเสียดายร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขฉบับดังกล่าวถูกรัฐสภาตีตกไป แต่อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ก็จะยังคงเดินหน้าต่อไป
นายอิศเรศ กล่าวว่า ในส่วนของเอกชนที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกสู่ตลาด ผลกระทบที่เกิดจากการคอร์รัปชันก็เป็นต้นทุนที่แฝงอยู่ในการผลิตสินค้าและบริการ เพราะหากต้นทุนการผลิตไม่สามารถสู้คู่แข่งไม่ได้ รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นโควตา หรือสัมปทาน การเข้าถึงหากมีการคอร์รัปชันเข้ามาก็จะทำให้การเข้าถึงมีการได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมนั้นมองเรื่องของความสามารถในการแข่งขันเป็นเป้าหมายหลัก และอะไรที่ทำให้ไม่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้นั่นคือปัญหา ซึ่งเรื่องของการคอร์รัปชันนั้นเป็นปัญหาหนึ่งที่จะต้องแก้ไข และเรื่องคอร์รัปชันต้องเป็นนโยบายของพรรคการเมือง เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องของทฤษฎีสมประโยชน์นั้นเป็นเรื่องจริง โดยมี 3 ส่วน คือ ภาคการเมือง เอกชน และราชการ เนื่องจากการจะได้ใบอนุญาตหรือเวลาที่รวดเร็วแต่ละครั้ง ภาคเอกก็ต้องใช้วิธีการจ่ายให้กับราชการ ซึ่งการที่ราชการจะทำสิ่งนี้ได้ก็ต้องผ่านฝ่ายการเมืองมาก่อน ดังนั้นหากฝ่ายการเมืองได้คนดี คนเก่ง ไม่มีประวัติด่างพร้อยเข้ามาบริหาร ทฤษฎีสมประโยชน์นี้ก็จะไม่สำเร็จ
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงปัญหาการจ่ายเงินใต้โต๊ะ โดยได้เล่าถึงเรื่องการประมูลโครงการภาครัฐ ว่า การประมูลโครงการของรัฐ ภายใต้ พ.ร.บ. ร่วมทุน ซึ่งที่ผ่านมา BTS ได้ร่วมการประมูลและชนะการประมูลอย่างโปร่งใสมาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมา เมื่อไม่นานมานี้ มีอยู่หนึ่งโครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม บีทีเอสได้เข้าไปร่วมประมูล แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ โครงการนี้ได้เปิดประมูลเมื่อเดือน พ.ค.ปี 2563 โดยมีการขายซองให้ผู้ประมูลแล้ว 10 ราย รวมถึง บริษัทบีทีเอส แต่ระหว่างที่ยังไม่ได้ยื่นซอง ก็มีการเปลี่ยนข้อกำหนด หลักเกณฑ์ทีโออาร์ ซึ่งปกติไม่เคยเจอเรื่องลักษณะนี้ ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องแปลกและอาจจะไม่โปร่งใส บีทีเอส จึงยืนฟ้องต่อศาลปกครอง ก่อนศาลจะมีคำสั่งคุ้มครอง ซึ่งหมายความว่าให้กลับไปใช้เงื่อนไขเดิม
และในช่วงท้ายยังมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวอีกด้วย
เวทีปชป."ฟัง-คิด-ทำ" สะท้อน "การเมือง-ระบบราชการ" ต้นตอคอร์รัปชัน - กรุงเทพธุรกิจ
Read More
No comments:
Post a Comment