นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบ Organic Expansion และ Merger and Partnership (M&P) อย่างต่อเนื่องในปีนี้ 2-3 ดีล ซึ่งโดยปกติจะมีเฉลี่ย 2-3 ดีล แต่ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีมีถึง 4 ดีล
โดยแผนการทำ M&P บริษัทยังเน้นโฟกัสในภูมิภาค อาเซียนเป็นหลัก ในธุรกิจปลายน้ำ ที่เชื่อมต่อกับธุรกิจต้นน้ำที่มีอยู่ แต่ก็ยังมองหาโอกาสในภูมิภาคอื่นๆ ที่สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ประโยชน์หรือขยายตลาดเพิ่มเติมก็จะพิจารณาเช่นกัน
โดยบริษัทได้เตรียมงบลงทุนสำหรับการทำ M&P ราว 10,000 ล้านบาท จากงบลงทุนปีนี้ตั้งไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้งบที่เหลืออีก 5,000 ล้านบาท จะใช้สำหรับบำรุงรักษา(maintenance) และสำหรับการขยายธุรกิจจากภายใน (Organic) อีก 5,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้บริษัทเร่งผลักดันแผนซินเนอร์จี้เพื่อขยายตลาดในส่วนของดีล M&P ที่ทำสำเร็จแล้วในปี 2564 ไม่ว่าจะเป็น Go-Pak จะเป็นช่องทางนำผลิตภัณฑ์ของเราเข้าไปขยายตลาดในฝั่งตะวันตก ,นำผลิตภัณฑ์ Deltalab มาสร้างโอกาสขยายตลาดในเอเชีย แปซิฟิก เพราะตลาดในอาเซียนและไทย ส่วนใหญ่ยังเป็นตลาดนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์
และส่วนอื่นๆ เช่น ความร่วมมือกับ Duy Tan ขยายธุรกิจโพลิเมอร์แพคเกจจิ้ง ในเวียดนาม ในกลุ่มกล่องกระดาษให้ลูกค้าเปลี่ยนมาใช้เป็นโซลูชั่นมากขึ้น และเดินหน้าสร้างโรงงานผลิตกระดาษ ในภาคเหนือเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มการผลิตในปี 2567 โดยเรายังมุ่งขยายฐานการผลิตยังเน้นที่ในไทยและเวียดนาม
นายดนัยเดช กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้มั่นใจว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 60% จากปีก่อนอยู่ที่ 57% เท่านั้น ที่เหลือเป็นสัดส่วนรายได้ในประเทศจาก 43% มาอยู่ที่ 40%
ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้มากกว่า 140,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2564 อยู่ที่ 124,223 ล้านบาท โดยจะมาจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากธุรกิจที่ควบรวมกิจการเข้ามา รวมถึงการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ 5 ปี เติบโตมากกว่า 2 เท่าจากปีที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกด้วย
“ปีนี้เรายังเน้นการเติบโตในภูมิภาคอาเซียนและไทย เป็นหลัก มองว่าตลาดปรับตัวดีขึ้น คนออกมาใช้จ่ายมากขึ้น แต่ทิศทางเงินเฟ้อ และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น อาจกัดกร่อนกำลังซื้อ ยังต้องติดตาม ทำให้เรามุ่งเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้นด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคต้องสร้างการซินเนอร์จี้ เร่งการผลิต สร้างมูลค่าทางธุรกิจเพิ่มขึ้น บริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ”
อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 บริษัทถือเป็นปีที่น่าติดตาม โดยมี 4 เรื่องที่สำคัญคือ
1.เรื่องของ E-commerce โดยการซื้อของออนไลน์เติบโตสูง การซื้อสินค้าอาหารผ่านออนไลน์มากขึ้น ผู้ผลิตก็ต้องปรับตัวเข้าเทรนด์นี้
2.คนให้ความสำคัญสุขอนามัยมากขึ้น ทั้งความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์ ดังนั้นบริษัทจะต้องร่วมพัฒนากับลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว
3.เรื่องความหลากหลายของสินค้า จำนวน SKU ที่มีมากขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น สินค้ามีทางเลือกมากขึ้นให้กับผู้บริโภค
4.ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สินค้าต้องมีองค์ประกอบ เช่น สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ดังนั้นบริษัทจึงนำจุดนี้ขึ้นมาใช้ในระยะยาว เช่น สินค้าที่มาจากกระดาษ เน้น ความสวยงามมากขึ้น สินค้ากลุ่ม โพลิเมอร์ สินค้าที่ยืดอายุผัก ผลไม้ ถุงรีไซเคิลได้ เป็นต้น
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์
SCGP ทุ่มหมื่นล้าน เล็งทำM&P 2-3 ดีลในปีนี้ ดันรายได้ต่างประเทศโต - กรุงเทพธุรกิจ
Read More
No comments:
Post a Comment